เมื่อเรามองลึกลงไปในคดีมาตรา 112 จะพบว่าไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป กฎหมายคดีมาตรา 112 ที่ตั้งอยู่บนความละเอียดอ่อนและถูกตีความอย่างกว้างนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของ “คนธรรมดา” จำนวนไม่น้อย จากการแสดงออกในที่สาธารณะ การพิมพ์ข้อความบนแป้นพิมพ์ มาสู่การแชร์ส่งต่อในโลกออนไลน์ การกระทำที่ดูเหมือนปกติเหล่านี้กลับกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้คนต้องเผชิญกับโทษจำคุกที่รุนแรง และถูกคุมขังอยู่หลังกำแพงเรือนจำในทุกวันนี้
ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังในเรือนจำด้วยคดีมาตรา 112 จำนวน 29 คน ในจำนวนนี้มีคดีที่สิ้นสุดแล้ว 9 คน และเป็นผู้ลงโทษกักขัง 1 คน *ข้อมูลจนถึงวันที่ 12 ก.ย. 2568
ผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำตอนนี้ ถูกตัดสินด้วยการกระทำแบบใดจึงทำให้พวกเขาต้องโทษตั้งแต่ห1 ปีไปจนถึงสูงถึง 54 ปี 6 เดือน และตัวเลขนี้กำลังบอกอะไรแก่คนในสังคม
ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีผู้ที่ได้รับการประกันตัวออกมาต่อสู้คดีภายนอกเรือนจำจำนวนมาก แต่ยังมีผู้ต้องขังอีกหลายรายที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในเรือนจำ โดยเฉพาะผู้ที่คดีสิ้นสุดแล้วหรือผู้ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีแต่ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว โดยมีการกระทำแบ่งเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้
การปราศรัยและการแสดงออกในเวทีสาธารณะ
การใช้สิทธิในการแสดงออกด้วยการพูดในเวทีสาธารณะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย กลับกลายเป็นมูลเหตุให้ผู้ต้องขังบางรายต้องเผชิญกับโทษจำคุก
อานนท์ นำภา : ถูกดำเนินคดีเฉพาะมาตรา 112 ทั้งหมด 14 คดี ในนั้น 10 คดีพิพากษาศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกรวม 29 ปี 1 เดือน จากการปราศรัยในเวทีชุมนุมทางการเมืองหลายกิจกรรม เช่น การชุมนุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2563 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหรือที่เรียกกันว่า ม็อบแฮรี่พอตเตอร์ และอีกหลายเหตุการณ์ โดยเนื้อหาในการปราศรัยเกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทและพระราชอำนาจของสถาบันฯ ซึ่งศาลตัดสินว่าเข้าข่ายความผิด อานนท์ถูกคุมขังแม้คดีจะยังอยู่ในระหว่างการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
แอมป์ ณวรรษ : ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 7 เดือน โดยสิ้นสุดไปแล้ว 1 คดี ส่วนอีก 5 คดีอยู่ระหว่างต่อสู้คดีในชั้นศาล จากการขึ้นกล่าวปราศรัยบนรถบรรทุกติดตั้งเครื่องขยายเสียงในชุมนุม #ม็อบ13กุมภา64
ขนุน สิรภพ : ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดีจากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ เมื่อปี 2563 โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวถึง 16 ครั้ง ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2568
เมื่อสิทธิในการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตย กลับถูกแปรเปลี่ยนเป็นความผิดที่ต้องชดใช้ด้วยอิสรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้บุคคลที่ยังถือว่า “เป็นผู้บริสุทธิ์” ต้องถูกคุมขังยาวนาน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพและหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมอย่างร้ายแรง
การแสดงออกเชิญสัญลักษณ์และคดีอื่น ๆ
ในการชุมนุมและกิจกรรมทางการเมืองหลายครั้ง บนเวทีไม่ได้มีเพียงแค่การปราศรัย แต่ยังประกอบไปด้วยงานไว้อาลัย เล่นดนตรี งานศิลปะ การพ่นสี หรือกิจกรรมสร้างสรรค์อื่น ๆ ซึ่งผู้ต้องขังหลายคนยังอยากต่อสู้คดี แต่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัว อาทิ
วีรภาพ : ถูกตัดสินโทษจำคุก 3 ปี ในข้อหามาตรา 112 กรณีพ่นสีข้อความ “ปฏิรูปสถาบัน” บริเวณใต้ทางด่วนดินแดง
ขุนแผน และ มานี : ถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ในคดี จากกรณีทำกิจกรรม “ยืนบอกเจ้าว่าเราโดนรังแก” และร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ หลังศาลตัดสินจำคุก 3 ปี 6 เดือน
อัฐสิษฎ : ถูกศาลชั้นต้นจำคุก 2 ปี 12 เดือน (หรือประมาณ 3 ปี) จากการถูกฟ้องว่าเป็นผู้ทำเพจเผยแพร่ภาพวาดแนวเสียดสีสังคมจำนวน 2 ภาพ ระหว่างเดือน มิ.ย.- ต.ค. 2564 การแสดงออกเชิญสัญลักษณ์หรืองานสร้างสรรค์อื่น ๆ ที่เคยถูกศาลพิพากษาว่าเป็นความผิดในมาตรา 112 ยังมีอีกหลายประเภทเช่น ละครเวทีเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” หรือการแต่งชุดไทยไปร่วมม็อบแฟชั่นโชว์ก็ตาม
การแสดงความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลน์
สื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นพื้นที่หลักในการแสดงความคิดเห็น แต่สำหรับผู้ต้องขังบางราย พื้นที่นี้กลับกลายเป็นที่มาของการถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกจากการโพสต์ หรือแชร์ข้อความที่เข้าข่ายการตีความไปสู่คดีมาตรา 112
สมบัติ ทองย้อย : ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จากการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า “#กล้ามาก #เก่งมาก #ขอบใจนะ” พร้อมภาพบันทึกหน้าจอจากข่าวมติชน
บัสบาส มงคล : ถูกตัดสินจำคุกถึง 54 ปี 6 เดือน จากการโพสต์ข้อความและรูปภาพบนเฟซบุ๊ก 27 ข้อความ
อัญชัญ : อดีตข้าราชการที่ถูกตัดสินจำคุกถึง 43 ปี 6 เดือน จากกรณีเผยแพร่ แชร์คลิปเสียงของดีเจวิทยุใต้ดิน “บรรพต” ที่มีเนื้อหาวิจารณ์สถาบันฯ จำนวนหลายสิบคลิป และถูกปล่อยตัวหลังรับโทษมากว่า 8 ปี
เวหา : ถูกตัดสินจำคุก 3 คดี รวม 9 ปี จากกรณีใช้บัญชีทวิตเตอร์เล่าประสบการณ์การถูกคุมขังในคุกเรือนจำชั่วคราวพุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา หรือ #คุกวังทวี
วุฒิ (นามสมมติ) : ช่างเชื่อมชาวเพชรบูรณ์ ถูกตัดสินจำคุก 18 ปีจากการโพสต์เฟซบุ๊กจำนวน 12 ข้อความ โดยคดีถึงที่สุดแล้ว และเจ้าตัวตัดสินใจไม่สู้คดีหลังไม่ได้รับการประกันตัวนาน 11 เดือน
ปณิธาน : ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 6 เดือน จากกรณีคอมเมนต์ “สวัสดี” ในโพสต์กลุ่ม ‘รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส’ คดีถึงที่สุดแล้ว
เพียงการคอมเมนต์ แชร์ หรือส่งต่อเนื้อหาในโลกออนไลน์ แม้บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่ผู้สร้างเนื้อหาขึ้นมาเอง ก็อาจนำมาซึ่งการตัดสินและคุมขังด้วยโทษรุนแรงดังที่ปรากฏกรณีของ บัสบาส มงคล ที่ถูกแยกคดีตามจำนวนโพสต์จนมีโทษจำคุกสูงสุดนานกว่า 54 ปี จากจำนวน 27 โพสต์บนเฟซบุ๊ก
เห็นได้ว่าความความอ่อนไหวของตัวบทกฎหมายของมาตรา 112 เมื่อเจอกับการตีความจากการกระทำในลักษณะ โพสต์ และคอมเมนต์บนพื้นที่อินเทอร์เน็ตทำให้มีความผิดที่กว้างและรุนแรงเพิ่มขึ้นตามมา ขณะที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารและการแสดงออกทางความคิดเป็นสิ่งที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น ความรุนแรงของโทษในคดีมาตรา 112 เองก็กลับเพิ่มขึ้นด้วย
สถิติชี้ชัด: “แสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์” คือสาเหตุหลักที่คนถูกดำเนินคดี ม.112 มากที่สุด
ข้อมูลสถิติจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) *แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย.. 2568 ซึ่งครอบคลุมคดีที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองรวม 317 คดี ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนอย่างยิ่ง และชี้ให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่น่าตกใจของสังคมยุคดิจิทัล
ถูกดำเนินคดี ม.112 จากการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พบว่าการกระทำที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มากที่สุดคือ การแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 176 คดี หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
สถิตินี้สะท้อนให้เห็นว่า พื้นที่ออนไลน์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเปิดกว้างให้คนได้แสดงออก ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการกลั่นแแกล้งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ การแชร์รูปภาพ มีคำอธิบายภาพหรือไม่ แม้แต่การคอมเมนต์เพียงไม่กี่คำ ก็สามารถนำไปสู่การถูกดำเนินคดีที่มีโทษจำคุกอย่างรุนแรงได้
สิ่งนี้ยังสะท้อนปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายซึ่งเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ โดยผู้แจ้งความสามารถเป็นประชาชนทั่วไป เจ้าหน้าที่รัฐ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองก่อให้เกิดการอาศัยช่องว่างดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทางการเมืองในหลายกรณี
สถิติการกระทำในหมวดหมู่อื่น ๆ :
เพื่อให้เห็นสถานการณ์คดีโดยรวม ข้อมูลยังได้จำแนกพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาออกเป็นหมวดหมู่อื่นๆ ได้ดังนี้ :
คดีที่เกี่ยวกับการแสดงออกอื่นๆ (73 คดี): รวมถึงการกระทำที่ไม่ใช่การปราศรัย เช่น การติดป้าย, พิมพ์หนังสือ, แปะสติ๊กเกอร์ หรือกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ต่าง ๆ
คดีที่เกี่ยวกับการปราศรัยในการชุมนุม (60 คดี): การใช้เวทีสาธารณะเพื่อวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งคำถามทางการเมือง
ไม่ทราบสาเหตุ (7 คดี): คดีที่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนได้
ข้อมูลนี้ตอกย้ำให้เห็นว่าการใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือดำเนินคดีกับคนในสังคมออนไลน์เกิดขึ้น ในปริมาณที่สูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความเสี่ยงที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโลกออนไลน์
แม้สถิติจะชี้ชัดว่าการแสดงออกบนโลกออนไลน์มีปริมาณสูงสุด ก็ไม่ได้หมายความว่าการแสดงออกในรูปแบบอื่นจะปลอดภัย การปราศรัยหรือการทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์แม้ต่างรูปแบบ หรืออยู่ในแนวคิดที่ผู้จัดทำให้คำนิยามว่า ‘สร้างสรรค์’ ยังคงเป็นเป้าหมายของการดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลชุดนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าจะในพื้นที่จริงหรือโลกเสมือน ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้และดันเพดานกันต่อไป การทำความเข้าใจที่มาของคดีความเหล่านี้เป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการทบทวนและแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ผู้คนไม่ต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจากการแสดงออกในสังคม
จากกรณีข้างต้น จะเห็นได้ว่าการกระทำที่ศาลตัดสินว่ามีความผิดตามมาตรา 112 นั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางความคิดและครอบคลุมไปถึงการตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นการพูดในที่สาธารณะ หรือการโพสต์ในโลกออนไลน์ ประชาชนทั่วไปตกอยู่ในความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโทษจำคุกที่รุนแรง 3-15 ปี เป็นอย่างต่ำหากตกเป็นเป้าหมายในการถูกแจ้งความดำเนินคดีสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ทั้งสังคมจะต้องช่วยกันทบทวนและแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ผู้คนไม่ต้องไม่ถูกจำกัดด้วยความหวาดกลัวต่อกฎหมายที่มีบทลงโทษมากเกินสมควร หากอยากแสดงความคิดเห็นทางการเมืองรูปแบบต่างๆในสังคม