เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2568 พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมโครงการอ่านหนังสือลดวันต้องโทษ (Read for Release) ณ ลานสานฝัน สถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) โดยกิจกรรมนี้ ถูกระบุว่าเกิดจากการเล็งเห็นปัญหาว่าผู้ต้องขังส่วนหนึ่งกระทำความผิดเพราะขาดความรู้และขาดการศึกษา โครงการส่งเสริมการอ่านหนังสือจึงมีจุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อส่งเสริมการแสวงหาความรู้ ส่งเสริมนิสัยการรักการอ่านของผู้ต้องขัง และเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้ต้องขังเพื่อไม่ให้กลายเป็นผู้กลับไปกระทำผิดซ้ำ
โครงการดังกล่าวเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังและเป็นการแสดงออกว่ากรมราชทัณฑ์ เข้าใจปัญหาในสังคมและพยายามที่จะร่วมแก้ไข
อย่างไรก็ตามโดยข้อเท็จจริงกลับพบว่า เรือนจำหลายแห่งในประเทศไทยมักไม่สะดวกรับหนังสือบริจาค เนื่องจากอาจติดขัดเรื่องภาระในการคัดแยก หรือในเรือนจำใหญ่ ๆ เช่น เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือ ทัณฑสถานหญิงกลาง ยังคงรับหนังสือบริจาคอยู่ แต่ก็มีข้อจำกัดในการรับที่แตกต่างกัน
จะส่งหนังสือได้ ต้องเป็น 1 ใน 10 รายชื่อก่อน
สำหรับทัณฑสถานหญิงกลาง สามารถนำหนังสือไปบริจาคที่กองอำนวยการได้ โดยไม่ต้องกรอกรายละเอียดใด ๆ ทั้งสิ้น
ขณะที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีแบบฟอร์มสำหรับการกรอกข้อมูลสิ่งที่ต้องการจะบริจาค รวมถึงต้องกรอกชื่อที่อยู่และแนบบัตรประชาชนของผู้บริจาค โดยมีรายละเอียดสำคัญอยู่ที่ผู้บริจาคจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ใน 10 รายชื่อ ที่มีสิทธิเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำนี้ ทั้งนี้การบริจาคดังกล่าวเป็นการบริจาคเข้าห้องสมุดส่วนกลางของเรือนจำ โดยไม่สามารถระบุแดน หรือ ระบุผู้รับโดยตรงได้ การคัดแยกเป็นดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่อีกที
อย่างไรก็ดี ข้อกำหนดนี้มีความย้อนแย้งพอสมควร เนื่องจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเรือนจำที่เปิดให้ญาติสามารถส่งหนังสืออย่างเฉพาะเจาะจงถึงตัวผู้ต้องขังได้ โดยการระบุชื่อผู้รับได้ แต่คนที่มีสิทธิ์ส่งหนังสือเข้าในขั้นตอนนี้กลับต้องเป็นผู้ที่มีรายชื่ออยู่ 10 รายชื่อเยี่ยมเท่านั้น
การกำหนด 10 รายชื่อเป็นเพียงข้อจำกัดอย่างแรก เนื่องจากเรือนจำยังมีข้อกำหนดมากมายเกี่ยวกับการส่งหนังสือซึ่งดูเหมือนซับซ้อนจนไม่สามารถปฎิบัติได้จริง หรือปฎิบัติได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น
กำหนดวันรับหนังสือที่ไม่แทบทำไม่ได้จริงในทางปฎิบัติ
นอกจากจะจำกัด 10 รายชื่อแล้ว การส่งหนังสือแบบระบุชื่อผู้รับของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยังมีความซับซ้อนตรงที่มีการกำหนด “วันที่” ซึ่งจะรับส่งหนังสือ เฉพาะแค่ในช่วงวันที่ 1- 10 ของแต่ละเดือน โดยต้องส่งในช่วงเวลา 8.30-14.30 น. ซึ่งเป็นเวลาทำการของเรือนจำเท่านั้น เมื่อหักลบกับวันหยุดต่าง ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ในบางเดือนอาจจะมีวันที่สามารถส่งหนังสือเข้าเรือนจำได้จริงเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น
ข้อจำกัดเกี่ยวกับการส่งหนังสือยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เนื่องจากยังมีการระบุว่าผู้ที่อยู่ในสิทธิ์รายชื่อที่ประสงค์จะส่งหนังสือเข้าเรือนจำ จะต้องแนบสำเนาใบลงทะเบียนเยี่ยมญาติด้วย เท่ากับว่าญาติไม่สามารถมาเรือนจำเพื่อฝากหนังสือเพียงอย่างเดียวได้ แต่ต้องตีเยี่ยมผู้ต้องขังคนนั้นด้วย แม้ว่าเรือนจำจะสามารถทราบได้จากการเช็คในระบบอยู่แล้วว่าญาติคนดังกล่าวเป็นผู้มีรายชื่อหรือไม่ แต่ผู้ที่ต้องการฝากหนังสือกลับต้องตีเยี่ยม เพื่อแสดงหลักฐานความเกี่ยวข้องอีกครั้ง
สิ่งนี้เป็นข้อจำกัดชั้นที่ 3 ซึ่งทับซ้อนเข้ามานอกเหนือจากข้อจำกัดที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เนื่องจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กำหนดวันเยี่ยมญาติตามประเภทคดี โดยแบ่งเป็น คดียาเสพติดและคดีอาญา ทำให้วันที่ญาติสามารถตีเยี่ยมและส่งหนังสือได้ อาจจะเหลือเพียงประมาณ 3 วันต่อเดือน
เมื่อคำนวณดูแล้วก็จะพบว่าการประกาศรับหนังสือวันที่ 1-10 ของทุกเดือน กลับกลายเป็นข้อกำหนดที่ทำให้เกิดผลที่ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ เนื่องจากมีข้อกำหนดที่มีรายละเอียดซับซ้อนมากกว่าพ่วงตามมามากกว่าแค่เรื่องเปิดรับหนังสือวันที่ 1-10 ของเดือน
ยังไม่นับว่าถ้าในช่วง 3 วัน ที่ญาติสามารถฝากหนังสือได้นั้น หากญาติไม่สะดวกเข้าเยี่ยม ก็จะทำให้ผู้ต้องขังต้องรอไปอีกหนึ่งเดือนกว่าที่ญาติจะมีสิทธิ์ฝากหนังสือเข้าไปได้อีกครั้ง
อยากอ่านนิยายเป็นชุดต้องรอหลายเดือน
สำหรับประเภทและจำนวนของหนังสือก็มีข้อจำกัด นอกจากจะต้องเป็นหนังสือที่ไม่มีเนื้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่แล้ว หนังสือที่เป็นประเภทให้ความบันเทิง เช่น นวนิยายเอง ก็ยังมีข้อจำกัด กล่าวคือหากหนังสือเป็นนิยายชุด จะไม่สามารถฝากเข้าเรือนจำได้เป็นชุดได้
เรือนจำยังคงบังคับฝากหนังสือได้เพียงเดือนละ 1 เล่มอย่างเคร่งครัด หากว่านิยายที่ต้องการจะฝากเข้าเป็นนิยายชุดหลายเล่ม ผู้ต้องขังอาจจะใช้เวลารอนานกว่า 4-5 เดือนกว่าจะได้อ่านนิยายดังกล่าวอย่างครบชุด เนื่องจากการฝาก 1 เล่ม มีระยะเวลารอคอยประมาณ 1 เดือนขึ้นไป กว่าหนังสือจะถึงมือผู้ต้องขัง
ไม่ว่าจะมีญาติกี่คนถูกขังอยู่ ก็ฝากหนังสือให้ได้แค่ 1 คน 1 ครั้ง ต่อเดือน
การจำกัดปริมาณหนังสือที่หนึ่งเล่มต่อเดือนยังมีความซับซ้อนขึ้นไปอีกว่า คนหนึ่งคนที่อาจจะมีชื่อเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังหลายคนได้ กลับไม่สามารถฝากหนังสือให้คนหลายคนได้พร้อมกันในแต่ละเดือน แม้ว่าจะฝากแค่คนละหนึ่งเล่มตามกฎเกณฑ์ก็ตาม เนื่องจากถูกจำกัดด้วยกฎที่ว่า ญาติ 1 คน สามารถฝากหนังสือเข้าเรือนจำได้แค่เดือนละ 1 ครั้ง และฝากได้ให้ผู้ต้องขัง 1 คนเท่านั้น
กฎเกณฑ์ในการฝากหนังสือที่กล่าวมาทั้งหมดและผลของความซับซ้อนนี้ในภาคปฏิบัติ จึงกลายเป็น “ข้อจำกัด” มากกว่าการส่งเสริมผู้ต้องขังให้ได้อ่านหนังสือ และดูจะไปด้วยกันไม่ได้กับความตั้งใจของกรมราชทัณฑ์ที่มีโครงการส่งเสริมการอ่านหนังสือ รวมทั้งการสร้างความหลากหลายของหนังสือในเรือนจำให้ผู้ต้องขังสามารถเลือกอ่านได้