ชื่อ: กฤษณะ (สงวนนามสกุล) (38 ปี)
อาชีพ: พ่อค้า
คดี : ยุยงปลุกปั่น (มาตรา 116) และเป็นอั้งยี่ (มาตรา 209)
วันที่ถูกจำคุก : 30 พ.ย. 2565
สถานที่คุมขัง : เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา

“เอ” กฤษณะ ยึดมั่นในเป้าหมายของตัวเองที่ว่า “ต้องการให้ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” ในอดีตเมื่อครั้งปี 2553 เขาเคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง กระทั่งได้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกฯ และกลับมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้งเมื่อเกิดรัฐประหารในปี 2557 เรื่อยมาจนกระทั่งถูกดำเนินคดีนี้เมื่อปี 2561 เอเป็นหนึ่งในคนที่ถูกทหารจับเข้าค่ายภายใต้อำนาจตามกฎอัยการศึกในช่วงรัฐประหาร โดยถูกควบคุมตัวอยู่ราว 7 วัน

การตกเป็นผู้ต้องหาและจำเลยในคดีนี้ทำให้ชีวิตของกฤษณะพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง เอเคยทำงานเป็นพนักงานขับรถแต่ถูกไล่ออกจากงานและไม่มีใครรับเข้าทำงานอีก ถูกติดตามคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ สูญเสียบทบาทหัวหน้าครอบครัว กลายเป็นผู้ไม่มีรายได้

ขณะได้ประกันตัวในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ เขาพยายามดิ้นรนหารายได้ ทั้งการทำช่องยูทูป และธุรกิจออนไลน์ขายข้าวสาร แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก รวมทั้งยังได้รับผลกระทบจากการถูกให้ติดกำไล EM ทำให้หางานใหม่ได้ยากและถูกตีตราจากคนรอบข้างจนไม่กล้าเข้าสังคม มิหน้ำซ้ำยังสร้างแผลกดทับบริเวณที่สวมใส่อีกด้วย

ทั้งนี้ “เอ” เป็นจำเลยในการเมืองที่ถูกตั้งเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้ใส่กำไล EM ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปี 2565 คิดเป็นเวลายาวนานมากกว่า 4 ปี

ความเป็นมาในคดีที่ทำให้เอถูกคุมขังนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนกันยายน ปี 2561 เจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวประชาชนไปไว้ในค่ายทหารอย่างน้อย 6 คน ในจำนวนนี้ต่อมาถูกกล่าวหาดำเนินคดีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ กฤษณะ, เทอดศักดิ์, ประพันธ์, วรรณภา และจินดา

ทั้งหมดถูกอัยการสั่งฟ้องเป็นคดีเดียวกันในข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” และ “เป็นอั้งยี่” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 209 ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 โดยกล่าวหาว่าทั้งห้าคนได้เคลื่อนไหวปลุกระดมสมาชิกกลุ่มสหพันธรัฐไทและประชาชนทั่วไป ผ่านการแจกใบปลิวและขายเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ของกลุ่มสหพันธรัฐไท ระหว่างวันที่ 8 มิ.ย. – 12 ก.ย. 2561 แต่ต่อมาจินดาไม่ได้เดินทางมาศาล ทำให้เหลือจำเลยสี่คน

จากนั้นศาลดำเนินการสืบพยานระหว่างวันที่ 19-21 และ 26 พ.ย. 2562 จนแล้วเสร็จ โดยทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 4 มีความผิดฐานเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 จำคุกคนละ 3 ปี โดยจำเลยที่ 2 (เทอดศักดิ์) และที่ 3 (ประพันธ์) รับสารภาพในชั้นสอบสวน ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องข้อหายุยงปลุกปั่น มาตรา 116

เมื่อคดีเข้าสู่ชั้นฎีกา มีจำเลยยื่นฎีกาคำพิพากษา 3 ราย โดย 1 ใน 3 ไม่สามารถติดต่อและเดินทางมาศาลได้ ในการฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งนี้ จึงเหลือเพียงกฤษณะและวรรณาที่เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา โดยในวันที่ 30 พ.ย. 2565 ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 3 ปี ทำให้เอถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามเอถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในวันที่ 9 ม.ค. 2567 ตามนโยบายลดความแออัดในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์

28 ต.ค. 2567 กฤษณะถูกปล่อยตัวจากเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเนื่องจากเข้าเกณฑ์ได้รับการอภัยโทษ รวมถูกขังทั้งสิ้นประมาณ 2 ปี

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า