10 ธันวาคม ของทุกๆปี นอกจากจะเป็นวันที่ประกาศให้มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นวันที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติประกาศปฏิญญาสิทธิมนุษยชนสากล (The Universal Declaration of Human Rights) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1948 นับตั้งแต่วันนั้นวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็นวันสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Day) เพื่อให้ความสำคัญกับสิทธิพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงได้รับด้วยความเป็นธรรมและเสมอภาคกันทั่วทุกมุมโลก
สำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำเองก็มีการกำหนดแนวปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงในการดูแลผู้ต้องขังเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่มีมาตรฐาน เรียกว่า “แนวปฏิบัติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง” หรือ Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners มาตั้งแต่ พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) ก่อนจะได้รับการปรับปรุงอีกครั้งใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ซึ่งแนวปฎิบัตินี้ถูกนำไปประยุคใช้ในประเทศต่างๆกว่า 70 ปีแล้ว
ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN General Assembly) ได้ให้ชื่อย่อเรียกข้อกำหนดนี้ว่า “ข้อกำหนดเนลสันแมนเดลา” หรือ “Mandela Rules”” เพื่อเป็นเกียรติแก่เนลสัน แมนเดลลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ผู้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในเรือนจำและได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม ข้อกำหนดแมนเดลานี้มีอยู่ด้วยกัน 122 ข้อ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิของผู้ต้องขังที่ควรถูกทำให้เป็นมาตรฐานในทุกมิติ
สำหรับวันนี้ Freedom Bridge อยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักสิทธิผู้ต้องขังในส่วนที่เรียกว่า ข้อกำหนดเกี่ยวกับการติดต่อกับโลกภายนอกเรือนจำ ซึ่งมีเนื้อหาอยู่ในข้อกำหนดที่ 58-63 ของข้อกำหนดเนลสันแมนเดลา โดยเฉพาะเรื่องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การได้รับการเยี่ยม และการติดต่อกับโลกภายนอกทางช่องทางต่างๆ

มาตรฐานการกำหนดวันและความถี่ในการเยี่ยม รวมถึงการแพร่ภาพผู้ต้องขัง
นอกจากการเยี่ยมญาติจะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ต้องขังที่ต้องการกำลังใจแล้ว “การเยี่ยมญาติใกล้ชิด”ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เรือนจำมักจัดให้กับญาติและผู้ต้องขัง ในบางปีมีการเยี่ยมญาติประมาณ 2 ครั้ง แต่ในบางปีอาจมีการจัดถึง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับสุขภาพจิตของผู้ต้องขังเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม “ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี” ในหลายเรือนจำจะไม่ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมญาติใกล้ชิด เนื่องจากในความเป็นจริง ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาอยู่ในสถานะที่ยังไม่ใช่นักโทษหรือผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิด ในแง่นี้จึงไม่ได้รับสิทธิแบบผู้ต้องขังไปด้วย หากดูตามข้อมูลของผู้ต้องขัง เราจะพบว่าผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีถูกมองว่าเป็นผู้ต้องขังที่เข้ามาเพียงชั่วคราวเท่านั้นก่อนจะได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวตามสิทธิที่พึงได้รับ แต่สำหรับผู้ต้องขังทางการเมืองนั้นการคุมขังระหว่างพิจารณากินเวลายาวนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยเรามีผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีหลายคนที่ถูกคุมขังมากกว่า 2 ปีโดยไม่ได้รับการอนุญาตประกันตัว การจำกัดสิทธิการเยี่ยมญาติใกล้ชิดของผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี จึงกระทบโดยตรงกับผู้ต้องขังทางการเมืองด้วย
ทั้งนี้เรายังพบปัญหาเรื่องการกำหนดสิทธิ์ที่จะได้เยี่ยมญาติใกล้ชิดในบางเรือนจำ เช่น หากผู้ต้องขังได้รับการเยี่ยมญาติใกล้ชิดไปแล้วในปีนั้นๆ จะไม่ได้รับสิทธิ์ให้ลงทะเบียนเยี่ยมญาติใกล้ชิดอีก แม้ว่าการเยี่ยมญาติใกล้ชิดในปีนี้จะเปิดเยี่ยม 3 รอบตามแต่วาระโอกาส โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้านานมากนักก็ตาม เรือนจำมักให้เหตุผลว่าการการจำกัดลักษณะนี้ เป็นเปิดโอกาสให้ญาติที่จองเยี่ยมไม่ทันในการเยี่ยมญาติรอบก่อนๆได้เข้าเยี่ยมในรอบนี้ แต่ไม่ได้มีผลการศึกษาที่ชัดเจนว่าวิธีดังกล่าวเป็นการส่งเสริมสิทธิ์ที่จะได้รับการเยี่ยมญาติอย่างไร และมีข้อดีหรือข้อเสียมากกว่ากัน เพราะการกำหนดเกณฑ์เช่นนี้ก็เป็นการปิดกั้นโอกาสของผู้ต้องขังคนอื่นที่ญาติอยากมาเข้าเยี่ยมด้วย
การเปิดให้มีการเข้าเยี่ยมหลายรอบต่อปี เดิมมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อให้ญาติและผู้ต้องขังได้เจอกันบ่อยขึ้นตามวาระโอกาสที่เรือนจำจะจัดให้เกิดขึ้นได้ การกำหนดให้ญาติที่เคยเยี่ยมไปแล้วในปีนั้นๆไม่สามารถลงทะเบียนเยี่ยมผู้ต้องขังได้อีก จึงเป็นเป็นหาในเชิงลิดรอนมากกว่าส่งเสริมสิทธิ์ผู้ต้องขัง
ในงานเยี่ยมญาติใกล้ชิดของบางเรือนจำ โดยเฉพาะเรือนจำชายยังมีกิจกรรมสำคัญที่ญาติและผู้ต้องขังล้วนชื่นชอบ คือซุ้มถ่ายภาพ ซึ่งต้องจ่ายเงินเพื่อใช้บริการและจะได้รับภาพตามแต่ราคาที่แต่ละเรือนจำตั้งไว้ โดยแต่ละเรือนจำมีวิธีการคิดราคาภาพถ่ายที่แตกต่างกัน
ช่วงเดือนส.ค. ที่ผ่านมา มีการเปิดเยี่ยมญาติใกล้ชิด ณ เรือนจำแห่งหนึ่งและมีหลายๆครอบครัวของผู้ต้องขังทางการเมืองเผยแพร่ภาพซึ่งมาจากซุ้มถ่ายรูปของเรือนจำทางสื่อออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนที่กำลังติดตามพวกเขาได้รับรู้ความเป็นไปของผู้ต้องขังทางการเมือง อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เรือนจำยุติการให้บริการซุ้มถ่ายรูปแม้ว่างานเยี่ยมญาติยังไม่จบ ทำให้ผู้ต้องขังอีกหลายคน ทั้งผู้ต้องขังทางการเมืองและผู้ต้องขังทั่วไปเสียโอกาสที่จะได้ถ่ายรูปกับญาติของตนเองในวันสำคัญอย่างวันเยี่ยมญาติใกล้ชิดซึ่งมีเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี และแม้ว่าจะมีการจัดเยี่ยมญาติใกล้ชิดอีกครั้ง ก็ไม่มีการนำซุ้มถ่ายรูปมาอีก
ต่างจากอีกเรือนจำซึ่งพบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการเผยแพร่ภาพผู้ต้องขังจากญาติ แต่สามารถยืนยันสิทธิของผู้ต้องขังที่จะทำกิจกรรมที่เรือนจำจัดให้นี้และได้อธิบายต่อสาธารณชนจนสร้างความเข้าใจได้ ทำให้ผู้ต้องขังยังคงได้ถ่ายภาพกับครอบครัวและได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

การเซ็นเซอร์จดหมายยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง “อนุญาติให้ส่งแค่รูปคน”
การส่งจดหมายก็เป็นปัญหาสำคัญในการติดต่อสื่อสารระหว่างญาติ-ผู้ต้องขัง และ เพื่อนๆ ในปีนี้เราพบว่าปัญหาเกี่ยวกับการส่งจดหมายของผู้ต้องขังในเนื้อหาที่คิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่กลับถูกเซ็นเซอร์จากผู้ตรวจจดหมาย
จดหมาย 2 ฉบับที่ถูกส่งต่างเวลากันผ่านแอพพลิเคชั่นของเรือนจำแห่งหนึ่ง ถูกตอบกลับมาด้วยข้อความที่แนบกฎการส่งจดหมายเข้าเรือนจำ โดยกฎระบุว่า ควรส่งภาพคนเท่านั้น สร้างความงุนงงให้กับคนที่ส่งจดหมายเป็นอันมาก โดยเนื้อหาของจดหมายเป็นเรื่องการพูดคุยทั่วไป ไม่มีปัญหาในการส่งหากแต่ภาพที่ถูกแนบไปนั้นโดนตัดออก ด้วยเหตุผลที่ว่า “ห้ามส่งภาพอื่นๆที่ไม่ใช่ภาพคน” ภาพที่ถูกตัดออกไปเป็นภาพดอกทานตะวันซึ่งเป็นดอกไม้ทั่วไปที่ผู้คนมักเอาไว้ใช้ส่งหากันแสดงการให้กำลังใจ เป็นที่น่าสังเกตว่าการติดต่อกับผู้ต้องขังในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เคยมีการส่งภาพดอกไม้ไปหลายฉบับแต่ไม่เคยได้รับการตักเตือนจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการส่งภาพดอกไม้แต่อย่างใด
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ นอกจากภาพดอกไม้แล้ว การส่งภาพเอกสารสำคัญถึงผู้ต้องขังก็ไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกัน ภายหลังการประกาศ พระราชกฤษฎีกา พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2568 ผู้ต้องขังแทบทุกคนรอคอยที่จะทราบเกณฑ์การอภัยโทษเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับสิทธิเสรีภาพของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อญาติส่งภาพที่อธิบายเกี่ยวเกณฑ์การอภัยโทษผ่านไปทางจดหมาย กลับถูกตักเตือนว่าไม่สามารถส่งภาพที่มีตัวอักษรเช่นนี้เข้าไปได้ แม้ว่าเอกสารดังกล่าวจะจัดทำโดยกรมราชทัณฑ์เองก็ตาม
สิ่งนี้สะท้อนถึงความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่ในการปฎิบัติงาน โดยเฉพาะการตรวจสอบจดหมายที่มีข้อกำหนดในลักษณะที่กว้างจนต้องอาศัยเพียงวิจารณญาณของผู้ตรวจสอบที่ล้วนต่างกันไปในแต่ละคนเท่านั้น การกำหนดกฎเช่นนี้จึงเสี่ยงที่จะเกิดการปิดกั้น จำกัด สิทธิผู้ต้องขังโดยไม่จำเป็น ทำให้

การกำหนด 10 รายชื่อเข้าเยี่ยม ที่ครอบคลุมไปถึงสิทธิในการรับ-ส่งจดหมาย
ปัญหาการกำหนด 10 รายชื่อนั้นของเรือนจำถูกพูดถึงมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดใดๆในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม การกำหนดว่าผู้ต้องขังสามารถมีคนที่มาเข้าเยี่ยมได้เพียง 10 คน และเข้าเยี่ยมพร้อมกันไม่เกิน 5 คน ทำให้ผู้ต้องขังจำต้องเลือกให้บางคนได้เข้าเยี่ยม หากบางครอบครัวมีสมาชิกครอบครัวจำนวนมาก บางคนก็อาจไม่สามารถเข้าเป็น 10 รายชื่อของผู้ต้องขังได้ กลับกันสำหรับผู้ต้องขังทางการเมืองซึ่งบางคนอาจจะไม่ได้อยู่อาศัยกับครอบครัวแต่มีประชาชนจำนวนมากอยากเข้าเยี่ยมพวกเขา ก็ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ เนื่องจากติดปัญหาของการกำหนด 10 รายชื่อ
การกำหนด 10 รายชื่อของเรือนจำนั้น มีรายละเอียดลึกและครอบคลุมลงไปเกี่ยวกับการติดต่อผู้ต้องขังหลายส่วน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการเข้าเยี่ยมทางออนไลน์หรือที่เรือนจำ แม้กระทั่งการฝากเงิน ส่งแว่นตา-หนังสือ หรือจดหมายและซื้ออาหาร ในบางเรือนจำก็กำหนดให้เป็นผู้ที่มีรายชื่อเท่านั้นจึงทำสิ่งเหล่านี้แก่ผู้ต้องขังได้ แม้แว่ารายชื่อเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ แต่พบว่าบางเรือนจำอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงเพียง 2 รอบ/ ปี บางเรือนจำต้องรอทุกๆ 30 วัน บางเรือนจำไม่มีระยะเวลารอคอยที่แน่ชัดแล้วแต่ว่าญาติของผู้ต้องขังจะไปติดตามความคืบหน้าได้บ่อยแค่ไหน
กรณีการเขียนจดหมายหรือรับจดหมายนั้น ไม่ควรที่จะจำกัดการรับ-ส่ง เพียง 10 รายชื่อ เนื่องจากจดหมายทุกฉบับล้วนต้องถูกอ่านและตรวจสอบเนื้อหา หากมีเนื้อหาที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ตามข้อกำหนด เช่น เนื้อหาที่กระทบความมั่นคงหรือลามกอนาจาร เจ้าหน้าที่สามารถจำกัดจดหมายได้ในขั้นตอนนั้น แต่ในทางปฎิบัติหลายเรือนจำไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้เป็น 10 รายชื่อส่งจดหมายถึงผู้ต้องขัง การกำหนดเกณฑ์ลักษณะนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สร้างผลกระทบต่อผู้ต้องขังทางการเมือง
ตัวอย่างเช่นในเรือนจำพิเศษกรุงเทพซึ่งเคยใช้แอพพลิเคชั่นส่งจดหมายที่ใครก็สามารถส่งถึงผู้ต้องขังได้ แต่ภายหลังมีการสร้างเว็บไซต์เฉพาะเจาะจงและเปลี่ยนเกณฑ์ให้กลายเป็นผู้มี 10 รายชื่อเท่านั้นจึงส่งจดหมายได้ ขณะที่เรือนจำบางขวางมีขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อส่งจดหมายออนไลน์ที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่านั้นคือต้องยืนยันตัวตนด้วยแอพพลิเคชั่นเพื่อลงทะเบียนแอพเขียนตดหมายและต้องให้ผู้ต้องขังในเรือนจำแจ้งความประสงค์เปิดใช้บริการเขียนจดหมายผ่านแอพพลิเคชั่น จึงจะสามารถใช้แอพพลิเคชั่นส่งจดหมายได้จริงๆ โดยยังไม่พบว่าผู้ต้องขังทางการเมืองคนใด ได้ใช้งานบริการนี้ที่เรือนจำบางขวางเนื่องจากความยุ่งยากดังกล่าว
ท้ายที่สุดแล้วผู้ต้องขังทุกคนเป็นมนุษย์ผู้ยังต้องกลับเข้าสู่สังคมในวันใดวันหนึ่ง การลงโทษคือการจำกัดอิสรภาพไม่ใช่ใบอนุญาตในการลดทอนความเป็นมนุษย์ พวกเขาควรได้รับสิทธิในการมีชีวิตตามสมควรโดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารกับญาติและเพื่อนในแบบที่มนุษย์ทั่วไปได้รับ การจำกัดสิทธิบางประการโดยเฉพาะการต้องอยู่ในที่คุมขังเป็นเวลาหลายปีและออกจากห้องขังได้เพียงเวลาที่ถูกกำหนด สร้างความเครียดจำนวนมากให้ผู้ต้องขังทางการเมืองบางคนที่ยังต่อสู้คดีอยู่และยืนยันเรื่องสิทธิการแสดงออกทางการเมือง
การปฎิบัติที่มีมาตรฐานและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจในสิทธิมนุษยชนจะของผู้ควบคุมจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการลดความเครียดและทำให้ผู้ต้องขังกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีของผู้ต้องขังทั่วไปอาจช่วยลดการกระทำความผิดซ้ำได้ในอนาคตหากพวกเขาได้รับการดูแลที่ถูกต้อง
#วันสิทธิมนุษยชนสากล #HumanRightsDay
