ชีวิตในเรือนจำดูเหมือนจะมีเพียงเรื่องที่ทำให้ความเครียดและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ แต่ในความเป็นจริงแล้วสุขภาวะทางกายของผู้ต้องขังเองก็เป็นเรื่องสำคัญที่มีรายละเอียดให้ลงลึกไปมอง
ดร.อายุตม์ สินธพพันธุ์ นักทัณฑวิทยาเชี่ยวชาญ ให้ความเห็นบนบทความเว็บไซต์ของกรมราชทัณฑ์ ในหลักการบริหารงานเรือนจำที่ดี ในข้อที่ 4 ไว้ว่า
“สุขอนามัยในเรือนจำ มาตรฐานด้านสุขอนามัยของเรือนจำที่ดี นับว่าเป็นตัวชี้วัดถึงการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังด้วยความมีมนุษยธรรม การดูแลและการเอาใจใส่ที่ดีในด้านสุขอนามัยของผู้ต้องขังก็เป็นปัจจัยที่จะส่งเสริมให้เรือนจำเป็นที่ยอมรับในระดับสากล”
แต่จากรายงาน “ประเทศไทย รายงานสภาพเรือนจำประจำปี 2568” โดยสหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) ที่รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ต้องขังภายในเรือนจำทั่วประเทศ ได้ฉายภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างออกไปจากหลักการดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพกายของผู้ต้องขัง ซึ่งยังคงมีปัญหาที่ซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังอย่างรุนแรง
เมื่อการรักษาไม่ใช่เรื่องง่าย : ปัญหาการเข้าถึงบริการทางการแพทย์
รายงานสภาพเรือนจำชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบราชทัณฑ์ในการดูแลสุขภาพกายของผู้ต้องขัง การเข้าถึงการรักษาพยาบาลและยาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและล่าช้าอย่างมาก โดยผู้ต้องขังต้องรอพบแพทย์นานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ แม้จะเป็นอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ตาม นอกจากนี้ การเข้าถึงยาบางอย่างก็ถูกจำกัดจนเกินไป ซึ่งสร้างความกังวลว่าผู้ต้องขังอาจถูกปฏิเสธยาโดยพลการ และในบางกรณี ผู้ต้องขังที่ขอยาแก้ปวดอาจถูกลงโทษด้วย
สุขอนามัยและโภชนาการ : ความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานที่ขาดแคลน
สภาพความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐานในเรือนจำก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของผู้ต้องขัง
น้ำและสุขอนามัย: การเข้าถึงน้ำถูกจำกัดอย่างหนักในหลายเรือนจำ โดยผู้ต้องขังมีน้ำใช้เพียงวันละ 1-2 ชั่วโมง ส่งผลให้พวกเขามีน้ำไม่เพียงพอต่อการอาบน้ำและใช้ห้องสุขา ห้องสุขาบางแห่งยังขาดความเป็นส่วนตัวและมีจำนวนไม่เพียงพอต่อผู้ต้องขังจำนวนมาก ผู้ต้องขังหญิงยังต้องเผชิญกับความท้าทายเฉพาะตัวในการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวในช่วงมีประจำเดือน
อาหาร: อาหารในเรือนจำส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำ ขาดคุณค่าทางโภชนาการ และมีปริมาณไม่เพียงพอ คำบอกเล่าจากอดีตผู้ต้องขังทำให้เห็นภาพอาหารที่ “ไม่อร่อย” และ “จืดชืด” มักมีแค่ข้าวกับแกงจืดที่มีเนื้อไม่กี่ชิ้น ในบางกรณีถึงขั้นได้รับแกงที่มีแต่ก้างและหัวปลา คุณภาพของน้ำดื่มก็ไม่น่าไว้วางใจ โดยมีรายงานว่าน้ำดื่มมีกลิ่นคลอรีน มีฝุ่นผง มีกลิ่นคาวหรือมีสีแดง
ความเหลื่อมล้ำในสังคม(เรือนจำ)
การจำกัดเสรีภาพผู้ต้องขังไว้หลังกำแพงไม่อาจทำให้เกิดความ “เท่าเทียม” เมื่อแม้แต่เรือนจำก็ยังมีความเหลื่อมล้ำ นอกจากปัญหาเชิงระบบแล้ว ยังมีความเหลื่อมล้ำในการดูแลผู้ต้องขังเฉพาะกลุ่มเกิดขึ้น
LGBTQ+: ผู้ต้องข้ามเพศถูกคุมขังในเรือนจำชายและประสบปัญหาการเข้าถึงการบำบัดด้วยฮอร์โมน รวมถึงเสื้อผ้าที่เหมาะสม พวกเขาต้องเผชิญกับการคุกคามและการเลือกปฏิบัติจากผู้ต้องขังคนอื่น
การเลือกปฏิบัติ: ผู้ต้องขังที่มีฐานะร่ำรวยหรือมีอิทธิพลมักจะได้รับสิทธิพิเศษหลายประการ เช่น การอาบน้ำแยกจากผู้ต้องขังคนอื่น อาหารที่ดีกว่า และการละเว้นจากการลงโทษทางวินัย ในทางตรงกันข้าม ผู้ต้องขังธรรมดาอาจต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม
งานหนัก ค่าตอบแทนน้อย : แรงงานในเรือนจำ
ผู้ต้องขังยังต้องทำงานหนักและซ้ำซากโดยได้รับค่าตอบแทนน้อยนิด ซึ่งก่อให้เกิดความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ มีรายงานว่าผู้ต้องขังบางคนถูกบังคับให้ผลิตอวนจับปลา และได้รับค่าจ้างเพียงเดือนละ 1,000 บาท และการไม่บรรลุเป้าหมายยอดการผลิตยังอาจนำไปสู่การถูกลงโทษทางวินัย แม้กรมราชทัณฑ์อ้างว่าได้หยุดแนวปฏิบัตินี้ไปแล้วในปี2565 สิ่งนี้เป็นการตอกย้ำว่าการใช้แรงงานในเรือนจำยังคงเป็นการเอาเปรียบและสร้างความทุกข์ทรมาน
การเสียชีวิตในเรือนจำ
การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอและอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า ดังเช่นกรณีการเสียชีวิตของ “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีรายงานว่า บุ้งประสบภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันขณะอยู่ในการควบคุมตัวของกรมราชทัณฑ์ ช่วงเช้าของวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 จากการหมดสติที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ก่อนจะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งต่อมาแถลงว่าเธอเสียชีวิตในเวลา 11.22 น.
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินมีความล่าช้าและยุ่งยาก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากระเบียบการรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อน คำบอกเล่าจากอดีตผู้ต้องขังสะท้อนภาพที่น่าหดหู่ว่า หากผู้ต้องขังเกิดอาการป่วยฉุกเฉินในเวลากลางคืน เจ้าหน้าที่อาจใช้เวลาถึง 1.5-2 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงห้องขังเพื่อประเมินอาการ และบางครั้งอาจต้องรอจนเช้าเพื่อได้รับการรักษา
สุขภาพในเรือนจำ: ปัญหาที่สังคมต้องตระหนัก
สุขภาพของผู้ต้องขังเป็นภาพสะท้อนของระบบยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในประเทศ เมื่อสุขภาพขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังถูกละเลย มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในเรือนจำเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการกลับคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพในอนาคตด้วย ท้ายรายงานของสหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยในแต่ละด้านที่พบปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นหลายประการ เช่น บริการด้านสุขภาพ น้ำและสุขาภิบาล อาหารและน้ำดื่ม ฯลฯ รวมทั้งการอนุญาตให้องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐและองค์กรอิสระเข้าถึงภายในเรือนจำโดยไม่มีการปิดกั้นและอุปสรรค รวมถึงการประกันว่าสภาพเรือนจำไทยมีความสอดคล้องตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี รวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR), กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR), อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการซ้อมทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่น ๆ ที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม (CAT), อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบต่อสตรี (CEDAW), อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ (CRPD)
สหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน (FIDH) ยังมีข้อเสนอแนะสำหรับประชาคมระหว่างประเทศต่อเรื่องการพัฒนาเรือนจำ ดังนี้
1.เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเพิ่มความพยายามในการแก้ไขและรับมือกับปัญหาความแออัดในเรือนจำไทย โดยแสวงหามาตรการที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพเพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ
2.เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำให้สอดคล้องกับข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำแห่งสหประชาชาติ สำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ
3.เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามพันธกิจที่ให้ไว้ในระหว่างกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามวาระรอบสองและสาม รวมถึงอนุญาตให้ กสม. และผู้ตรวจการแผ่นดิน สามารถเข้าถึงเรือนจำทุกแห่งได้โดยไม่มีการปิดกั้น
4.ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและการฝึกอบรมกับเจ้าหน้าที่ในเรือนจำเกี่ยวกับพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนของไทยและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับสภาพในเรือนจำและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง
การแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้ต้องขังไม่ใช่เพียงหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์หรือรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่ต้องอาศัยความตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม เมื่อเราให้ความสำคัญกับสุขภาวะของผู้ต้องขัง เรากำลังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบยุติธรรมที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
Freedom Bridge เชื่อว่าทุกเสียงสะท้อนจากข้างในเรือนจำและทุกการสนับสนุนจากข้างนอกคือพลังสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เรือนจำไม่ใช่เพียงสถานที่สำหรับ “การคุมขัง” แต่เป็นสถานที่ที่ “การคุ้มครอง” สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้คนอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมในการคืนคนคุณภาพสู่สังคมอย่างยั่งยืน
——————–
