โมเดลการขังนอกเรือนจำ: เมื่อ “เรือนจำ” ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ของการจัดการกับผู้กระทำความผิด

“เรือนจำ” เป็นสถานที่แรกที่ผู้คนคิดถึง เมื่อพูดเรื่องการ “ลงโทษ” ในประเทศที่มีระบบกฎหมายโดยทั่วไปผู้กระทำความผิดมักจะต้องถูกนำตัวไปขึ้นศาลและการคุมขังบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะต้องเป็นไปตามคำสั่งของศาล อย่างไรก็ตามในเรือนจำมีทั้งผู้ที่ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิดแต่ถูกขังระหว่างพิจารณา และผู้ที่คดีสิ้นสุดแล้ว กำลังรับโทษ ถูกคุมขังอยู่รวมกัน 


แม้ทั่วโลกยังคงใช้ระบบการคุมขังผู้กระทำความผิดในเรือนจำ แต่ปัจจุบันหลาย ๆ ประเทศได้ทดลองใช้ทางเลือกใหม่ในการจัดการกับผู้กระทำความผิด โดยการเพิ่มมุมมองอื่นๆ มากกว่าแค่เรื่องการสั่งสอนให้หลาบจำ แนวทางในการจัดการกับผู้กระทำความผิดที่มีความหลากหลายมากขึ้นนั้นสร้างประโยชน์และผลลัพท์ที่แตกต่างในหลาย ๆ มิติมากกว่าการคุมขังในเรือนจำแบบดั้งเดิม 


วันนี้ Freedom Bridge จะพาไปทำความรู้จักกับ “การคุมขังนอกเรือนจำ” และโมเดลของการคุมขังในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าแนวคิดเกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำความผิดนั้น สามารถออกแบบให้มีความแตกต่างกันได้ 


จุดเริ่มต้นของแนวคิด “การขังนอกเรือนจำ”

“การคุมขังนอกเรือนจำ” หมายถึง การอนุญาตให้ผู้ต้องขังบางรายสามารถถูกคุมขังในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำได้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำ  เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาพฤติกรรมของพวกเขาได้(1) รวมไปถึงการมุ่งหาแนวทางรูปแบบอื่น ๆ ในการลงโทษและการพัฒนาฟื้นฟูพฤติกรรมของผู้ต้องขังนอกจากการคุมขังในเรือนจำ

แนวคิดการคุมขังนอกเรือนจำมีที่มาจากการที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยประสบกับปัญหากับผู้ต้องขังล้นเรือนจำ ทำให้การบริหารจัดการของเรือนจำเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งการกำกับควบคุมความปลอดภัยของผู้ต้องขัง การดูแลสุขอนามัยในเรือนจำที่ดี ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังในเรือนจำนั้นแย่ลง และนำมาซึ่งการละเมิดสิทธิของผู้ต้องขังในเรือนจำในหลายมิติ

สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้ระบุว่า การที่ประเทศต่าง ๆ ได้ใช้ “เรือนจำ” เป็นมาตรการหลักที่ลงโทษผู้กระทำผิดในสังคมนั้น ได้นำมาซึ่งปัญหาต่าง ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ และความแออัดของเรือนจำที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้น

ทำให้ในปี 1990 องค์กรสหประชาชาติได้กำหนดแนวทางในการลงโทษแบบไม่ต้องมีการคุมขัง (United Nations Standard Minimum Rules for Non-custodial Measures: The Tokyo Rules) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงโทษผู้กระทำผิดนอกจากการคุมขังในเรือนจำแต่เพียงเท่านั้น นำมาซึ่งโมเดลในการลงโทษผู้กระทำความผิดในรูปแบบอื่น ๆ และโมเดลการคุมขังผู้ต้องขังในสถานที่อื่นนอกเรือนจำ โดยได้มีการนำไปปรับใช้ภายใต้กรอบกฎหมายของแต่ละประเทศ(2)

การลงโทษแบบไม่ต้องมีการคุมขังนั้นมีด้วยกันหลากหลายแนวทาง ตัวอย่างเช่น การยกฟ้องคดีแบบมีเงื่อนไข การลงโทษในทางสถานะ การลงโทษในทางเศรษฐกิจเช่นการปรับแทนจำคุกหรือการยึดอายัดทรัพย์ การชดใช้ให้เหยื่อผู้เสียหาย การไปฝึกอบรมพัฒนาทักษะ การทำงานบริการสังคม รวมไปถึงการคุมขังนอกเรือนจำที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ด้วยเช่นกัน


ระเบียบคุมขังของราชทัณฑ์ในปี 2566 เปิดโอกาส “คุมขังนอกเรือนจำ”

ในประเทศไทยเองก็มีระเบียบที่ว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำเช่นเดียวกัน โดยในปีพ.ศ.2566 กรมราชทัณฑ์ได้ประกาศใช้ “ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขัง ในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566” โดยเนื้อหาหลัก ๆ ว่าด้วยเรื่องของการพิจารณาการเปิดทางให้ผู้ต้องขังที่มีโทษจำคุก ไม่ต้องถูกคุมขังใน “เรือนจำ” แต่สามารถถูกคุมขังใน “สถานที่อื่น ๆ” แทนได้(3)

โดยสถานที่ที่เข้าข่าย สามารถให้ผู้ต้องขังถูกคุมขังนอกเรือนจำได้นั้นประกอบไปด้วย สถานที่กักขังทั่วไปเช่นบ้าน คอนโด สถานที่สำหรับการพัฒนาพฤติกรรมเช่นสถานที่ราชการ สถานศึกษา วัด มัสยิด รวมไปถึงพื้นที่ของภาคเอกชนที่ได้รับการอนุมัติจากกรมราชทันฑ์ สถานที่สำหรับการรักษาพยาบาล เช่น โรงพยาบาล โดยทุกสถานที่เหล่านี้ต้องสามารติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring)(4)

อย่างไรก็ดีไม่ใช่ผู้ต้องขังทุกคนที่จะสามารถเข้าเกณฑ์การถูกคุมขังนอกเรือนจำผู้ต้องขังคนดังกล่าวจะต้องผ่านเงื่อนไขหลายข้อ โดยเฉพาะ ผ่านการประเมินจากคณะทำงานพิจารณาผู้ต้องขัง ซึ่

ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่มีลักษณะต้องห้าม มีโทษกักขังแทนโทษจำคุก อยู่ระหว่างถูกดำเนินการทางวินัย เป็นต้น โดยกระบวนการทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติจากอธิบดีรมราชทันฑ์ (5)

 

โมเดลการขังนอกเรือนจำในระดับสากล

มาตรการในการคุมขังนอกเรือนจำในรูปแบบต่าง ๆ ได้มีการปรับใช้ในหลายประเทศอย่างแพร่หลาย และแต่ละประเทศก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามแต่ละแนวทางของประเทศนั้น ๆ โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้

ประเทศสหรัฐอเมริกามีการใช้ระบบเรือนจำเอกชน (Private Prison) โดยการให้ภาคเอกชนมาสัมปทานในการจัดการเรือนจำในด้านต่าง ๆ ซึ่งช่วยลดความแออัดของเรือนจำ และช่วยให้การบริหารจัดการของเรือนจำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น(6) 

ประเทศเซเนกัลมีการให้ผู้ต้องขังสามารถถูกคุมขังที่บ้านแทนเรือนจำ โดยการให้ผู้ต้องขังใส่กำไล EM ตลอดเวลาเพื่อติดตามตัว ทำให้ผู้ต้องขังเครียดน้อยลงจากการที่ไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยความแออัดในเรือนจำ(7) 

ประเทศนอร์เวย์และฟินแลนด์มีการจัดการที่เรียกว่า “เรือนจำแบบเปิด” (Open Prison) คือเรือนจำที่มีมาตรการและความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยในระดับต่ำ เน้นการบำบัดฟื้นฟูผ่านการบังคับใช้มาตรการขั้นต่ำเท่านั้นและการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยมาตรการนี้ช่วยลดอัตราการกระทำความผิดซ้ำและสามารถคงไว้ซึ่งความมั่นคงผลอดภัยของสังคมได้(8)

ประเทศเนเธอร์แลนด์มีการให้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาผู้กระทำความผิดรายบุคคลมากกว่าการลงโทษ ผ่านการติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวตลอดเวลา ให้ผู้ต้องขังทำงานบริการสังคม และให้การบำบัดรักษากับผู้ต้องขังที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล สิ่งนี้ส่งผลให้คุกในหลายแห่งของประเทศต้องปิดตัวลงไป เนื่องจากจำนวนผู้ต้องขังลดลงเป็นอย่างมาก

หลายประเทศในยุโรปอนุมัติให้มีการคุมขังนอกเรือนจำกับผู้ต้องขังบางกลุ่มโดยเฉพาะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาสุขภาพร่างกาย หรือผู้ต้องขังที่มีบทลงโทษเหลือน้อย ขึ้นอยู่กับกฏเกณฑ์ของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการบำบัดฟื้นฟูผู้ต้องขังและการบูรณาการกับชุมชนในการดำเนินการดังกล่าวอีกด้วย หรือก็คือให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูผู้กระทำผิด ไม่ใช่เป็นบทบาทของรัฐแต่เพียงเท่านั้น(9) 

 

ข้อจำกัด และผลดี ของการขังนอกเรือนจำ

จากตัวอย่างได้แสดงให้เห็นว่า การลงโทษผู้กระทำผิดนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องผู้ขังอยู่ใน “เรือนจำ” เท่านั้น รัฐยังสามารถมีแนวทางอื่น ๆ ที่เป็นการลงโทษผู้กระทำผิดภายใต้รูปแบบของการดูแลผู้ต้องขังอย่างมีศักดิ์ศรี เคารพสิทธิในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ต้องขัง และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาที่ตัวผู้กระทำผิดมากกว่าการรับบทลงโทษ ซึ่งโมเดลการคุมขังนอกเรือนจำช่วยให้สามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้

ในทางหนึ่ง โมเดลการคุมขังนอกเรือนจำนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเปิดโอกาสให้กับผู้ต้องขังบางกลุ่มมีอภิสิทธิ์ชน สามารถที่จะไปถูกขุมขังที่อื่น ๆ ไม่ต้องมายากลำบากร่วมกับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ได้ เพราะการพิจารณาอนุมัติดังกล่าวขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางราชทัณฑ์ ความกังวลในสถานที่ต่าง ๆ ว่ามีความพร้อมต่อการดูแลผู้ต้องขังหรือไม่ มีการใช้งบประมาณการจัดการที่สูงในการนำผู้ต้องขังไปคุมขังในสถานที่อื่น ๆ รวมถึงความกังวลต่อความรู้สึกของผู้เสียหายที่อาจมองว่าเป็นการลดโทษมากกว่าเป็นการพัฒนาพฤติกรรมของผู้ต้องขังได้ 

แต่ขณะเดียวกันมเดลนี้ก็สามารถลดความแออัดของในเรือนจำได้ ช่วยบรรเทาความยากลำบากและความเครียดในการดำเนินชีวิตอยู่ในเรือนจำของผู้ต้องขังบางกลุ่มและทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นจากการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าในเรือนจำ ที่สำคัญในหลายแห่งยังมีส่วนช่วยในการบำบัดรักษาผู้กระทำความผิด ทั้งยังทำให้อัตราการกระทำผิดซ้ำลดลงอีกด้วย

 

ผู้ต้องขังทางการเมืองกับการคุมขังนอกเรือนจำ

ผู้ต้องขังคดีการเมือง ถือเป็นกลุ่มเฉพาะที่แตกต่างกับผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์ทั่วไป พวกเขาถูกดำเนินคดีและต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำจาก “การแสดงออก” อันเนื่องมาจากความคิดทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ จึงมีข้อสังเกว่านักโทษทางการเมืองนั้นควรที่จะถูกคุมขังร่วมกับนักโทษคดีอาญาทั่วไปที่มีความรุนแรงหรือไม่

ผู้ต้องขังในคดีการเมืองโดยส่วนใหญ่คือประชาชนทั่วไปที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งทางออนไลน์และบนท้องถนน ซึ่งในท้ายที่สุดต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเนื่องมาจากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาและบ้างก็เป็นคดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว  มักมีบทลงโทษที่ไม่ได้สัดส่วนต่อการกระทำ เช่น การแชร์โพสต์ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว หรือการคอมเมนต์ในเฟสบุ๊ก และถูกกล่าวหาด้วยมาตรา 112 ทำให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถถูกตัดสินจำคุกด้วยโทษสูงถึง 3-15 ปี ต่อ 1 โพสต์ โดยมีผู้ต้องขังที่ถูกตัดสินจำคุก 40-50 ปี จากการโพสต์ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ถึงแม้พวกเขาไม่ใช่บุคคลสาธารณะที่มีผู้ติดตามจำนวนมากก็ตาม

เราพบว่าผู้ต้องขังหลายคนตัดสินใจรับสารภาพอย่างจำใจรวมถึงตัดสินใจยุติการสู้คดีในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เนื่องจากการต่อสู้คดีต้องใช้เวลา 1-2 ปีกว่าจะมีคำพิพากษาในศาลสูง ขณะที่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเพื่อมาต่อสู้คดีภายนอกเรือนจำ การไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวเป็นเวลานานทำให้เกิดความสิ้นหวังในการต่อสู้เพื่อให้ได้รับความยุติธรรม พวกเขาไม่ได้กระทำความรุนแรงเดือดร้อนต่อสังคม แต่กลับต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำอันมีที่มาจากการแสดงออกในทางการเมืองเพียงเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จึงรุนแรงเกินไป และไม่ยุติธรรมกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง จึงมีความจำเป็นที่รัฐควรที่จะต้องชดเชยและให้การเยียวยากับผู้ต้องขังคดีทางการเมืองเหล่านี้เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับพวกเขาเป็นอย่างน้อย

การคุมขังนอกเรือนจำ จึงอาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะนำมาช่วยให้ผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองที่กำลังรับโทษหรือไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวให้เข้าถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยังแยกพวกเขาออกจากกลุ่มผู้ต้องขังที่กระทำผิดในคดีอุกฉกรรจ์อื่นๆด้วย 

กรมราชทัณฑ์ควรเร่งพิจารณานำรูปแบบการคุมขังนอกเรือนจำมาปรับใช้กับผู้ต้องขังที่มีความเหมาะสม รวมถึงนักโทษคดีการเมืองเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ต้องขังและเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปเรือนจำ

 

อ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

1. “จำคุกนอกเรือนจำ” โมเดลใหม่ของกระบวนการยุติธรรมไทย
2.United Nations Standard Minimum Rules for Non-custodial Measures (The Tokyo Rules)
3.ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขัง ในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566
4.ทำความเข้าใจระเบียบ ‘จำคุกนอกเรือนจำ’ ฉบับใหม่ของกรมราชทัณฑ์
5.เปิดระเบียบกรมราชทัณฑ์ “คุมขังนอกเรือนจำ” ใครบ้างมีสิทธิ 
6.Private Prisons 
7.Open Prison
8.แนวทางคุมขังนอกเรือนจำในต่างประเทศ | ทันโลก กับ Thai PBS | 22 .. 66
9.ALTERNATIVES TO INCARCERATION IN A NUTSHELL

Share This Story

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า